ชื่อตุรกีประเทศนี้อาจฟังดูน่ากลัวสำหรับบางคน ประชากรชาวแขกอาจยิ่งเพิ่มความน่ากลัวมากขึ้น แต่ก็นั่นล่ะ บางอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเอาเองเสมอไปครั้งแรกที่ได้มีโอกาสสัมผัสตุรกี ผ่านมาราวสามปีได้ แต่ทุกครั้งที่นึกถึงก็เหมือนกับเพิ่งจะเมื่อวานนี้เอง หนึ่งเดือนในครั้งนั้นผ่านไปเร็วเหมือนโกหก อย่างที่ใครๆบอกว่า “เวลาแห่งความสุขนั้นผ่านไปเร็วเสมอ” เหตุการณ์ที่ทำให้ต้องจดจำและประทับใจอย่างหนึ่งคือ ความซื่อสัตย์และมีน้ำใจนี่เอง เรื่องของเรื่องก็คือ วันหนึ่งหลังจากจัดการอาหารเย็นในร้านเรียบร้อยก็ได้ออกมาเดินชมเมือง ตอนนั้นอากาศค่อนข้างหนาวทีเดียว กางเกงที่ใส่ซ้อนกันหนาๆ ทำให้ไม่รู้ตัวเลยว่าธนบัตรเลื่อนออกมาและหล่นตามทางเดินที่เดินผ่าน จนกระทั่งมีหนุ่มตุรกีเดินตามมาสะกิดๆ แถมพูดเป็นภาษาเตอร์กิชอีก ต่อเมื่อเค้าชี้สลับไปมาที่พื้นข้างหลัง ที่มือเค้าถือเงิน และที่กางเกงเราที่มีเงินโผล่แว่บออกมาอีกใบ จึงได้เข้าใจอ๋อเอาเงินมาคืนให้นี่เอง คาดว่าจะก้มๆเงยๆเดินเก็บมาให้ เพราะนับแล้วครบรวมหกใบ .. (เฮ้อ หายไปเสียดายแย่) ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พบเจอมา
นอกจากนี้เค้ายังมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าผู้มาเยือนคือคนที่พระอัลเลาะห์ส่งมาดังนั้นต้องเลี้ยงดูอย่างดี ได้สัมผัสเต็มๆก็ครั้งนั้นเอง ไม่ถึงกับแขกบ้านแขกเมือง แต่คิดว่าก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพื่อนๆในมหาวิทยาลัยแวะเวียนมาคุย พาไปเที่ยวชมเมือง ชิมอาหาร / ขนมจนพุงกางไม่เว้นวัน ซื้อของฝากของดีประจำเมือง แม้กระทั่งผ้าพันคอ เสื้อกันหนาวให้ .. แต่สำคัญที่สุดคือ ตลอดเวลาเราสามารถรับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีของชาวเตอร์กิชและประกายความจริงใจของพวกเค้าผ่านดวงตาโตคมเข้มแบบแขก ที่แถมยังรับกันดีกับคิ้วโค้งสวยอีกต่างหาก ทั้งประทับจิตและติดใจเลยล่ะ เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า Turkish people are not as cold as European เพราะตุรกีเป็นหนึ่งในสองประเทศในโลกนี้ที่ตั้งอยู่บนสองทวีป นิสัยใจคอจึงได้ละม้ายทั้งชาวยุโรปแต่ก็มีรอยยิ้มและเป็นมิตรอย่างชาวเอเชีย ลองได้ลิ้มลองประสบการณ์แบบกึ่งยุโรปแต่อบอุ่นเหมือนไม่ได้ไกลบ้านไปไหนแล้วจะเชื่อจริงๆ เชื่อและชอบจนต้องไปอีกครั้งเลยทีเดียว